บริษัทประกันภัยโดยทั่วไปจะรับประกันภัยเฉพาะความเสี่ยงภัยที่แท้จริง (PURE RISKS) ได้เพียงบางประเภทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับลักษณะสำคัญของความเสี่ยงภัยที่สามารถจะเอาประกันภัยได้ไว้ดังนี้.
1. ต้องมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่คล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก (THERE MUST BE A LARGE NUMBER OF HOMOGENOUS EXPOSURE UNITS )
2. ความเสียหายที่เกิดชึ้น ต้องเป็นอุบัติเหตุและไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัย (THE LOSS MUST BE ACCIDENTAL AND UNINTENTIONAL BY THE INSURED)
3. ควานเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้อง สามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้ (THE LOSS MUST BE DETERMINABLE AND MEASURABLE)
4. ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้องไม่เป็นมหันตภัย (THE LOSS SHOULD NOT BE CATASTROPHIC )
5. ความเสี่ยงภัยนั้นควรเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง (PURE RISK) และเป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบเฉพาะบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม (PARTICULAR RISK)
6. ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย จะต้องคำนวณหรือประมาณได้ (THE PROBABILITY OF LOSS MUST BE CALCULABLE)
1. ต้องมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่คล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก (THERE MUST BE A LARGE NUMBER OF HOMOGENOUS EXPOSURE UNITS ) วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดนี้ก็เพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัย คำนวณความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยอาศัยกฎ LAW OF LARGE NUMBER ถ้าหากมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก และอยู่ในกลุ่มเดียวกัน บริษัทที่ประกันภัยนั้นก็สามารถที่จะคำนวณความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างแม่นยำ ทั้งในแง่ของความถี่และความรุนแรงโดยเฉลี่ยของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น (AVERAGE FREQUENCY AND AVERAGE SEVERITY OF LOSS)จากข้อกำหนดนี้จะเห็นได้ว่า บริษัทประกันภัยต้องจัดสิ่งที่จะรับประกันภัย ไว้เป็นกลุ่มๆ เช่น การประกันอัคคีภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น บ้านไม้ทั้งหมด บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ และตึกที่สร้างด้วยคอนกรีตทั้งหมด เป็นต้น หรือในการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ที่จัดแบ่งกลุ่มของผู้เอาประกันภัยตามลักษณะอาชีพและหน้าที่การงานซึ่งมีตามความเสี่ยงภัยด่างกัน เช่น กลุ่มอาชีพที่ทำงานอยูในสำนักงาน กลุ่มอาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องกลต่าง ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงภัยสูงขึ้น เป็นต้น
2. ความเสียหายที่เกิดชึ้น ต้องเป็นอุบัติเหตุและไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัย (THE LOSS MUST BE ACCIDENTAL AND UNINTENTIONAL BY THE INSURED ) โดยทั่วไป บริษัทประกันภัยจะชดใช้ความเสียหายที่เกิด ขึ้นโดยอุบัติเหตุไม่อาจคาดคะเนหรือทราบมาก่อนได้ และต้องไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากรกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันถ้าหากบริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัยแล้ว อาจจะก่อให้เกิดความไม่สุจริตใจ (MORAL HAZARD) ของผู้เอาประกันภัยที่จะทำลายทรัพย์สินหรือสิ่งที่เอาประกันภัยนั้น เพื่อหวังเอาเงินค่าสินใหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
3. ควานเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้อง สามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้ (THE LOSS MUST BE DETERMINABLE AND MEASURABLE) การที่มีข้อกำหนดนี้ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมแทนของบบริษัทประกันภัย ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้นว่าเป็นสาเหตุที่ได้รับการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้นหรือไม่ และถ้าหากคุ้มครองบริษัทประกันภัยจะชดใช้สินไหมแก่ผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนเงินเท่าใด หากไม่มีข้อกำหนดนี้แล้ว จะเกิดความยุ่งยากในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมเป็นอันมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากสาเหตุใดและได้รับเป็นการคุ้มครองตามกรมธรรม์หรือไม่ นอกจากนั้น หากไม่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้แล้ว บริษัทประกันภัยก็ไม่สามารถชดใช้เสียหายตามจำนวนที่ถูกต้องได้
4. ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้องไม่เป็นมหันตภัย (THE LOSS SHOULD NOT BE CATASTROPHIC ) ภัยบางอย่างซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายในแต่ละครั้งคิดเป็นเงินรวมกันจำนวนมหาศาลมากเกินกว่ากำลังของบริษัทประกันภัยแห่งเดียวหรือหลายแห่งรวมกันจะรับไว้ได้ เช่นความเสียหายจากภัยสงคราม ภัยจากระเบิดนิวเคลียร์ ย่อมถือว่าเป็นมหันตภัยที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถรับประกันภัยไว้ได้
5. ความเสี่ยงภัยนั้นควรเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง (PURE RISK) และเป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบเฉพาะบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม (PARTICULAR RISK) ข้อกำหนดนี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อที่แล้ว ซึ่งความเสียหายนั้นควรจะเกิดกับบุคคลบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น หากมีความเสียหายเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจะก่อให้เกิดปัญหาการดำเนินงาน และปัญหาทางการเงินแก่บริษัทประกันภัยเหล่านั้นได้ ขณะเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยก็ควรจะได้รับการชดใช้เท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น และไม่ควรจะได้รับผลกำไรจากการเอาประกันภัย เพราะจะก่อให้เกิดความไม่สุจริตของผู้เอาประกันภัยขึ้นได้
6.ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย จะต้องคำนวณหรือประมาณได้ (THE PROBABILITY OF LOSS MUST BE CALCULABLE)บริษัทประกันภัยจะต้องคำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย และความรุนแรงของความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างใกล้เคียงพอสมควร ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาคำนวณเบี้ยประกันภัยที่พอเพียงสำหรับจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและมีเหลือเป็นเงินสำรองสำหรับความเสียหายที่คาดไม่ถึง ในทางปฏิบัติ ถ้าภัยใดมีลักษณะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นข้อหนึ่งใด หรือหลายข้อแต่ไม่จำเป็นต้องครบทุกข้อ ผู้รับประกันภัยถือว่า เป็นภัยที่รับประกันภัยได้
ข้อมูลจาก : safety.co.th
ด้วยความปราถนา จาก ที่ปรึกษา ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ แหล่งรวมโปรโมชั่น ประกันรถยนต์ ดีๆ
เบื่อซ่อม อยากขาย ไว้ใจ Q4Car ตลาดรถ รับฝากขาย รถมือสอง ฟรี!!!!
1. ต้องมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่คล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก (THERE MUST BE A LARGE NUMBER OF HOMOGENOUS EXPOSURE UNITS )
2. ความเสียหายที่เกิดชึ้น ต้องเป็นอุบัติเหตุและไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัย (THE LOSS MUST BE ACCIDENTAL AND UNINTENTIONAL BY THE INSURED)
3. ควานเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้อง สามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้ (THE LOSS MUST BE DETERMINABLE AND MEASURABLE)
4. ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้องไม่เป็นมหันตภัย (THE LOSS SHOULD NOT BE CATASTROPHIC )
5. ความเสี่ยงภัยนั้นควรเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง (PURE RISK) และเป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบเฉพาะบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม (PARTICULAR RISK)
6. ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย จะต้องคำนวณหรือประมาณได้ (THE PROBABILITY OF LOSS MUST BE CALCULABLE)
1. ต้องมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่คล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก (THERE MUST BE A LARGE NUMBER OF HOMOGENOUS EXPOSURE UNITS ) วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดนี้ก็เพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัย คำนวณความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยอาศัยกฎ LAW OF LARGE NUMBER ถ้าหากมีหน่วยของความเสี่ยงภัยที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก และอยู่ในกลุ่มเดียวกัน บริษัทที่ประกันภัยนั้นก็สามารถที่จะคำนวณความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างแม่นยำ ทั้งในแง่ของความถี่และความรุนแรงโดยเฉลี่ยของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น (AVERAGE FREQUENCY AND AVERAGE SEVERITY OF LOSS)จากข้อกำหนดนี้จะเห็นได้ว่า บริษัทประกันภัยต้องจัดสิ่งที่จะรับประกันภัย ไว้เป็นกลุ่มๆ เช่น การประกันอัคคีภัย ซึ่งแบ่งออกเป็น บ้านไม้ทั้งหมด บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ และตึกที่สร้างด้วยคอนกรีตทั้งหมด เป็นต้น หรือในการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ที่จัดแบ่งกลุ่มของผู้เอาประกันภัยตามลักษณะอาชีพและหน้าที่การงานซึ่งมีตามความเสี่ยงภัยด่างกัน เช่น กลุ่มอาชีพที่ทำงานอยูในสำนักงาน กลุ่มอาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องกลต่าง ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงภัยสูงขึ้น เป็นต้น
2. ความเสียหายที่เกิดชึ้น ต้องเป็นอุบัติเหตุและไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัย (THE LOSS MUST BE ACCIDENTAL AND UNINTENTIONAL BY THE INSURED ) โดยทั่วไป บริษัทประกันภัยจะชดใช้ความเสียหายที่เกิด ขึ้นโดยอุบัติเหตุไม่อาจคาดคะเนหรือทราบมาก่อนได้ และต้องไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากรกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันถ้าหากบริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัยแล้ว อาจจะก่อให้เกิดความไม่สุจริตใจ (MORAL HAZARD) ของผู้เอาประกันภัยที่จะทำลายทรัพย์สินหรือสิ่งที่เอาประกันภัยนั้น เพื่อหวังเอาเงินค่าสินใหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย
3. ควานเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้อง สามารถหาสาเหตุและประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้ (THE LOSS MUST BE DETERMINABLE AND MEASURABLE) การที่มีข้อกำหนดนี้ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมแทนของบบริษัทประกันภัย ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้นว่าเป็นสาเหตุที่ได้รับการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้นหรือไม่ และถ้าหากคุ้มครองบริษัทประกันภัยจะชดใช้สินไหมแก่ผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนเงินเท่าใด หากไม่มีข้อกำหนดนี้แล้ว จะเกิดความยุ่งยากในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมเป็นอันมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากสาเหตุใดและได้รับเป็นการคุ้มครองตามกรมธรรม์หรือไม่ นอกจากนั้น หากไม่สามารถประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินได้แล้ว บริษัทประกันภัยก็ไม่สามารถชดใช้เสียหายตามจำนวนที่ถูกต้องได้
4. ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นต้องไม่เป็นมหันตภัย (THE LOSS SHOULD NOT BE CATASTROPHIC ) ภัยบางอย่างซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายในแต่ละครั้งคิดเป็นเงินรวมกันจำนวนมหาศาลมากเกินกว่ากำลังของบริษัทประกันภัยแห่งเดียวหรือหลายแห่งรวมกันจะรับไว้ได้ เช่นความเสียหายจากภัยสงคราม ภัยจากระเบิดนิวเคลียร์ ย่อมถือว่าเป็นมหันตภัยที่บริษัทประกันภัยไม่สามารถรับประกันภัยไว้ได้
5. ความเสี่ยงภัยนั้นควรเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง (PURE RISK) และเป็นความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบเฉพาะบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม (PARTICULAR RISK) ข้อกำหนดนี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อที่แล้ว ซึ่งความเสียหายนั้นควรจะเกิดกับบุคคลบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น หากมีความเสียหายเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจะก่อให้เกิดปัญหาการดำเนินงาน และปัญหาทางการเงินแก่บริษัทประกันภัยเหล่านั้นได้ ขณะเดียวกัน ผู้เอาประกันภัยก็ควรจะได้รับการชดใช้เท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น และไม่ควรจะได้รับผลกำไรจากการเอาประกันภัย เพราะจะก่อให้เกิดความไม่สุจริตของผู้เอาประกันภัยขึ้นได้
6.ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย จะต้องคำนวณหรือประมาณได้ (THE PROBABILITY OF LOSS MUST BE CALCULABLE)บริษัทประกันภัยจะต้องคำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย และความรุนแรงของความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างใกล้เคียงพอสมควร ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาคำนวณเบี้ยประกันภัยที่พอเพียงสำหรับจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและมีเหลือเป็นเงินสำรองสำหรับความเสียหายที่คาดไม่ถึง ในทางปฏิบัติ ถ้าภัยใดมีลักษณะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นข้อหนึ่งใด หรือหลายข้อแต่ไม่จำเป็นต้องครบทุกข้อ ผู้รับประกันภัยถือว่า เป็นภัยที่รับประกันภัยได้
ข้อมูลจาก : safety.co.th
ด้วยความปราถนา จาก ที่ปรึกษา ประกันภัยรถยนต์ ชั้นนำ แหล่งรวมโปรโมชั่น ประกันรถยนต์ ดีๆ
เบื่อซ่อม อยากขาย ไว้ใจ Q4Car ตลาดรถ รับฝากขาย รถมือสอง ฟรี!!!!